#พ่อท่านมุ่ย รวบรวมเรื่องราว ตามความทรงจำ
เรื่องเล่าที่1
พ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช หลังจากท่านได้มรณภาพในวันที่ 22 พฤษภาคม 2535 ในพิธีผมได้ไปบวชให้ท่านเพื่อทดแทนบุญคุณให้แก่ท่าน (องค์เดียว) โดยพ่อท่านเนียม วัดบางไทร นครศรีธรรมราช ศิษย์เอกพ่อท่านมุ่ย จนเสร็จงานบรรจุศพท่านไว้ 100 วันบนศาลาปัจุบัน และครบรอบวันเปิดกุฏิ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะหลังงาน ราว 15 วัน คณะกรรมการวัดก็ได้เข้าไปไขกุญแจพร้อมกันเพื่อเปิดกุฏิ และปิดไว้เพื่อกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย และได้ทำการสำรวจตรวจสอบทรัพย์สินของพ่อท่าน ว่ามีอะไรบ้าง ด้านนอกก็มีบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ญาติโยมที่เคารพและศรัทธา ยืนเป็นสักขีพยานราวนับร้อยคน
ผมได้อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งยังบวชเป็นพระในขณะนั้นได้เข้าไปในกุฏิท่าน ไม่พบเงินทองแม้แต่แดงเดียว เพราะท่านไม่จับต้องเงินทอง มีแต่ข้าวของเครื่องใช้อัฐบริขารต่างๆ กรรมการวัดและสักขีพยานได้รวบรวมทรัพย์สิน และจัดการกับขยะต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้โยนออกมานอกรั้ว ขณะที่จัดการทุกสิ่งอย่างอยู่นั้นได้ยินเสียงชาวบ้านตะโกนดีใจดังลั่น ว่าเจอพระปิดตาของพ่อท่านมุ่ยพิมพ์ใหญ่ อยู่ในถุงพลาสติก ทั้งๆ ที่ทุกคนช่วยกันสำรวจแล้วหลายรอบ ก่อนโยนถุงขยะออกมา ผู้ที่เก็บได้และคุ้ยเขี่ยคนนนั้นคือน้องสาวของพ่อท่านมุ่ยเอง ท่านดีใจจนน้ำตาไหล ตั่วสั่นพูดจาแบบตกใจ เหมือนเป็นบุญวาสนาของน้องสาวพ่อท่าน ท่ามกลางความดีใจของชาวบ้านและอีกหลายๆ คน ทันใดนั้นมีผู้คนต่างๆ ยกมือให้ราคาเพื่อขอเช่าต่อสูงถึงหลายหมื่น จากที่ได้ยินเสียงตะโกนไล่ราคา แต่น้องสาวท่านก็ไม่ได้ปล่อยให้ พอหลังจากนั้นทุกคนหาแต่ขยะหรือสิ่งของ ที่คณะกรรมการโยนทิ้งออกมานอกรั้วทุกสิ่งอย่าง เผื่อจะโชคดีบ้างหลังจากนั้นกรรมการวัดก็จัดการตรวจสอบทรัพย์สินจนเรียบร้อย
เรื่องเล่าที่ 2
พ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช ครบรอบวันมรณะภาพในวันที่ 22 พฤษภาคม 2535 กับความทรงจำ เป็นวันที่ผมเศร้าใจและเสียใจที่สุด เป็นวันที่ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพอย่างสูงสุด ได้มรณภาพลงผมได้มีภาพความทรงจำอันเป็นมงคลสูงสุดในชีวิต ผมได้บวชพระให้ท่านในช่วงที่ท่านมรณภาพ (เพียงองค์เดียว) มันเป็นช่วงที่ผมมีความรู้สึกถึงในความมีเมตตาของพ่อท่านมุ่ย ตลอดในชีวิตที่ผ่านมาที่ท่านได้สอนสั่งและให้ทุกสิ่งอย่างในการดำรงชีวิต
พ่อท่านมุ่ยมีแต่ให้ ตลอดเวลาทึ่ได้อยู่รับใช้ท่าน เป็นสิ่งที่โชคดีมากๆ ทึ่ได้อยู่รับใช้พระอรหันต์ จวบจนวาระสุดท้าย และได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ทุกๆ คืน หลังจากสวดเสร็จแขกเหรื่อกลับกันหมด ผมก็ได้แต่ไปนั่งมอง ที่หน้าหีบบรรจุศพ เฝ้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีวันนี้ แต่ก็เข้าใจในเรื่องธรรมชาติ ได้แต่สำนึกและคิดถึงคำสอนสั่งของพ่อท่านมุ่ยตลอด เพื่อเตือนตัวเอง และนำมาดำรงค์ใช้ในชีวิตประจำวัน มีเรื่องเล่าขานเหตุการณ์เหนือคำอธิบาย ตลอดเวลาในงานพิธีของพ่อท่าน เหมือนฝนฟ้าเป็นใจ ไม่ตกลงมา แดดออกทุกวัน ไม่ทำให้ผู้ที่เดินทางมาร่วมงานพิธีทั้งข้าราชการ พ่อค้าประชาชนรวมถึงศิษย์ยานุศิษย์ ไม่ต้องลำบาก ในการเดินทางมาร่วมงาน เพราะสมัยน้ันถนนหนทางยังเป็นลูกรัง และเดินทางโดยเรือเป็นส่วนใหญ่ พอถึงวันครบกำหนดเก็บสรีระท่านไว้บนศาลาปัจจุบันให้ครบ 100 วันตามประเพณี ทันใดนั้นฝนที่ไม่เคยมีเค้าว่าจะตก ทันใดนั้นก็เกิดลมแรงมากพัดพาฝุ่นตลบไปทั่วบริเวณวัด ฟ้าก็ร้องคำราม ฟ้าผ่าดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ผมเองในขณะนั้นบวชเป็นพระ ได้อยู่ในโบสถ์ได้สังเกตุการณ์ ยังตกใจกับเหตุการณ์ เปรียบเสมือนเทวดาบนฟ้ารับรู้ ถึงเหตุการณ์ ที่พระอรหันต์ได้จากโลกนี้ไปฟ้าผ่าฟ้าพิโรธ ฝนตกหนักมากสลับกับลมและเสียงฟ้าร้อง ศาลาในงานพิธี ป้ายต่างๆ ล้มระเนระนาดรวมทั้งแม่ค้าที่มาออกร้านในลานวัด ไม่ทันได้เก็บข้าวของ ต่างเปียกปอนกันไปทั่วหน้าทุกๆคนได้แต่ภาวนาพร้อมยกมือสาธุ กับเหตุการณ์นี้ ผู้ที่อยู่ในงานทุกท่านทราบดี อีกทั้งยังงวยงงกันทุกคน ว่าเป็นเรื่อง อัศจรรย์ยิ่งเป็นที่เล่าขานกันมาจวบทุกวันนี้
เรื่องเล่าที่ 3
เรื่องเล่าเป็นความทรงจำในสมัยเด็กในอดีต ที่ได้อยู่รับใช้พ่อท่านมุ่ย ที่วัดจะมีเรือแข่ง (ชื่อนางสาวงาม) เป็นเรือประจำวัดป่าระกำเหนือ ซึ่งเป็นเรือในตำนานของวัด และได้สร้างชื่อเสียงให้กับวัดมากมาย ให้ทุกท่านมองไปที่ด้านหลังรูปพ่อท่านมุ่ย ซึ่งจะมีถ้วยรางวัลวางตั้งเรียงรายอยู่ เป็นประเพณีของทุกปีหลังจากเสร็จนา จะมีการแข่งเรือ ที่แม่น้ำปากพนัง เรือนางสาวงาม ลำนี้เป็นเรือไม้ขุดทำมาจากไม้ตะเคียน ความจุประมาณ 24 ฝีพาย ซึ่งมีการฝึกซ้อมกันทุกวันที่ท่าน้ำหน้าวัด โดยฝีพายที่คัดสรรมาแล้ว มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ก่อนที่จะนำเรือลงแข่งจะมีการเซ่นไหว้แม่ย่านาง ตามพิธีโบราณ ผมได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเดินตามพ่อท่านมุ่ย ไปปลุกเสกและเจิมหัวเรือก่อนวันแข่งขัน พร้อมเครื่องเซ่นไหว้และบวงสรวง ในด้านพิธีเสกข้าวนั้นพ่อท่านมุ่ยให้ผมกินข้าวเสก พ่อท่านให้ผมกินข้าวแล้วก็ให้วิ่งรอบวัด สามรอบ โดยที่พ่อท่านนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้ากุฏิ ผ่านมารอบที่หนึ่ง ก็ถามว่าเหนื่อยไหม ผมก็ตอบไปว่าไม่เหนื่อย ทำแบบนี้อยู่ 3 รอบ ซึ่งพอกินเสร็จก็รู้สึกแปลกมากทำอะไรก็ไม่เหนื่อย พ่อท่านเสกจนมั่นใจแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็ให้ผมไปตามฝีพายมาทั้งหมด มานั่งล้อมวงอยู่ในสายสิญจน์และปลุกเสกพร้อมให้กินข้าวเสก มีอยู่ท่านหนึ่งตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเหมือนของขึ้น ด้วยเป็นเด็กข้าพเจ้า ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร ได้แต่นั่งมอง หลังจากทำพิธีเสร็จพ่อท่านก็เป่ากระหม่อม ให้เหล่าฝีพาย เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ไปแข่งมีชัยชนะกลับมา ซึ่งก็เป็นไปตามคาดได้ถ้วยรางวัลกลับมาให้พ่อท่านครับ ปัจจุบันเรือลำนี้อยู่ในศาลาที่วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช
เรื่องที่ 4
มีเรื่องเล่า ให้เข้ากับเหตุการณ์ในวันนี้ พูดถึงเรื่องเบอร์ (หวย) ก่อนพ่อท่านจะสิ้นบุญตอนสมัยที่ผมไปรับใช้พ่อท่าน หลังจากที่พ่อท่านทำวัตรเช้าเสร็จ ผมเองก็ตื่นมาก็ล้างกระโถน ปัดกวาดกุฎิทำความสะอาดทุกสิ่งอย่าง ตามประสาเด็กวัด ตามความสามารถในวัยเด็กสมัยนั้น หลังจากนั้นพ่อท่านก็ได้ก็เดินออกมาที่หน้ากุฎิ เพื่อเอาข้าวเปลือกมาให้นกให้ไก่กินเป็นการทำทาน เป็นกิจวัตรประจำวันของท่าน จนพ่อท่านได้ฉันมื้อเช้า เสร็จเรียบร้อย แล้วก็มาโปรดญาติโยม ระหว่างนั้นผมก็ได้อยู่และเห็น มีอยู่ลูกศิษย์กลุ่มหนึ่ง เข้ามากราบพ่อท่าน พ่อท่าน ถามว่ามาทำอะไร ลูกศิษย์กลุ่มนั้นบอกว่าเอาของมาถวายบอกว่าถูกเบอร์ (หวย) แต่จริงๆไปตีเลขเอาเอง เพราะพ่อท่านไม่ได้ให้ เพราะจริงๆท่านไม่เคยบอก เหตุการณ์นี้คนจะรวยและมีโชค พ่อท่านแค่ขอแลกปากกากับคนที่มากราบท่าน โดยที่ลูกศิษย์กลุ่มนี้ไม่ได้คิดว่ามันคืออะไรด้วยการแลกปากกากับกลุ่มที่มาด้วยปากกาแลนเซอร์คลิก / คนที่จะขอก็จะงงๆ ว่าจะแลกเอาไปทำไม พ่อท่านได้ขอแลกปากกากับ ลูกศิษย์กลุ่มนั้นแล้วให้ปากกาแลนเซอร์คลิกไป ที่ด้ามปากกามีเลข 878 แล้วก็เอาไปซื้อเองจนถูก แต่จะได้มากน้อยเท่าไหร่ผมไม่สามารถจะทราบได้ ดูจากสิ่งของที่มาถวายก็น่าจะเยอะพอสมควร เหตุการณ์นี้ลูกศิษย์กลุ่มนั้นคงจำได้ดี เป็นเรื่องเล่าจากความทรงจำมาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ทุกๆคนฟังครับ ท่านใดมีข้อมูลหรือเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มาแลกเปลี่ยนกันเพื่อเป็นวิทยาทาน (เรื่องเล่าจากเด็กเมืองกรุง เลือดเนื้อเชื้อไขคนเมืองคอน)
เรื่องที่ 5
ภาพถ่ายเสากุฏิ พ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช ภาพนี้มีที่มา ด้วยอภินิหารที่เหล่าบรรดาลูกศิษย์ ของพ่อท่านต่างทราบกันดี ว่าพ่อท่านถ่ายรูปไม่ติด ภาพนี้เกิดจากปี 2526 คุณพ่อผมนายถวิล เถาว์จู ได้ให้ผมมาประสานงานเรื่องการทำผ้าป่ามาถวาย จากกรุงเทพ หลังจะติดต่อเสร็จได้ชักชวนเหล่าบรรดาลูกศิษย์มาร่วมทำบุญผ้าป่า ตามนัดหมายโดยการนำรถบัสมาจากกรุงเทพ แล้วมาต่อเรือที่บางสระ ชาวกรุงเทพตื่นเต้นกันมาก ที่จะได้มากราบเกจิดังของภาคใต้ และรู้ถึงความยากลำบากในการมาพบกับพ่อท่านต้องตั้งใจมาและมีบุญเท่านั้น ถึงได้พบ กว่าจะเดินทางมาถึงวัดป่าระกำเหนือ ทุกคนได้เห็นบรรยากาศริมน้ำ และวิถีชีวิตของชาวบ้านของคนปากพนัง พอเรือจอดถึงท่าน้ำหน้าวัดเท่านั้น ทุกคนต่างรีบเข้ามา กราบพ่อท่าน ด้วยความที่เราเป็นเด็ก ในสมัยนั้น มีกล้องฟิล์มโกดักอยู่หนึ่งตัว ไปถึงก็เลยกดถ่ายรูป โดยที่ไม่ได้คิดอะไร พ่อผมเห็นเข้าจึงบอกว่าต้องขออนุญาตท่านก่อน ที่จะถ่ายรูปทุกครั้ง ทำให้เห็น
อภินิหารของพ่อท่าน ชาวกรุงเทพก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เพราะไม่มีใครทราบ ตั้งใจถ่ายรูปท่านหลายคน ต่างเจออภินิหารแบบเดียวกัน แม้แต่ผมที่เป็นลูกเป็นหลาน ยังถ่ายรูปติดมาแค่เสากุฎิ กว่าจะรู้ตัวสมัยก่อนก็กลับมาถึงกรุงเทพแล้ว นำฟิล์มไปล้าง ร้านถ่ายรูปบอกว่า ในฟิล์มมีรูปพระ แต่ล้างออกมาเป็นรูปเสา ทุกวันนี้ยังหาฟิล์มอยู่ว่าไปอยู่ไหน ย้ายบ้านเก็บเอาไว้หายังไม่เจอ ทำให้รู้เลยว่าท่านเก่งมาก หลังจากทำบุญเสร็จ ท่านก็ได้ให้ชานหมากกับทุกๆคนที่ไปร่วมทำบุญ สำหรับผมได้มาหนึ่งถุงใหญ่ ถ้านึกอะไรได้จะพยายามเอาความจำของตัวเองมาบอกเล่า ให้ทุกท่านได้หายคิดถึงพ่อท่านมุ่ยครับ
เรื่องที่ 6
ว่าด้วยเรื่องลูกอมชานหมากของพ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช มีร้านเสริมสวยร้านหนึ่งอยุ่ในซอยวัดบางนาใน กรุวเทพ ช่างเสริมสวย เข้าใจว่าได้ถูกของเข้ากลางวันก็ปรกติดีเหมือนคนทั่วไป พอตกดึกอาละวาดราวกับเป็นคนละคน รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย แม่ของช่างรายนั้นก็ได้มาหาพ่อผม เพื่อปรึกษาพ่อจึงทำน้ำมนต์ด้วยลูกอมชานหมากไปให้กินและพรมบ้าน หลังจากนั้นอาการก็สงบแต่พอตกดึกก็เป็นอีก คราวนี้จึงพาเจ้าตัวมาหาพ่อผมที่บ้าน พ่อผมจึงให้ผมไปจุดธูปมาแล้วทำน้ำมนต์ ให้กินต่อหน้าเลยผลปรากฏว่าอาเจียนออกมาเป็นเส้นผมเต็มเลย อาการก็กลับไปเป็นปรกติ ผมเข้าใจว่าคงถูกคนทำของใส่มา พ่อผมบอกว่าช่วยเขาเอาบุญ ห้ามไปรับเงินหรือตั้งตนเป็นอาจารย์เด็ดขาด เอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เท่านั้นตามคำบอกเล่าของพ่อท่านมุ่ย มิเช่นนั้นภัยจะมาถึงตัว
หลังจากที่พ่อท่านได้ละสังขารแล้ว 1 ปี ในช่วงเดือนเมษายน 2536 ข้าพเจ้าได้รับหมายเรียกให้ไปจับใบดำใบแดงที่ โรงเรียนวัดบางนาใน กรุงเทพ ด้วยความที่ไม่อยากจากครอบครัว เนื่องจากเราอยุ่กัน 4 คน พ่อและน้อง ๆ ทำให้เกิดความวิตก จึงคิดหาวิธีเอาตัวรอดด้วยหนทางต่างๆ ตามคำโบราณของผู้เฒ่าผู้แก่ เช่นดำน้ำกลั้นใจไปกัดถากคานไมัใต้ถุนบ้าน เพื่อเอามาเป็นเป็นเครื่องรางแก้เคล็ด ในช่วงนั้นพ่อและผมได้เดินทางไปที่นครศรีธรรมราช
เพื่อไปหาพ่อท่านเนียม ที่วัดบางไทร นอนค้างอยู่ 1 คืนพ่อท่านถามว่ามาทำอะไรกัน พ่อผมบอกว่าลูกชายจะไปเกณฑ์ทหาร ท่านก็ยิ้ม ๆ หลังจากนั้นราว 2 ทุ่มพ่อท่านเนียมก็เรียกผมไปเป่ากระหม่อม และให้ของดีติดตัวมา มอบลูกอมพระประทานพร ผ้ายันต์ รูปถ่ายลงยันต์ด้วยปากกาด้านหลัง จนเสร็จสรรพรุ่งเช้าก็ลากลับกรุงเทพ ในคืนสุดท้ายก่อนไปจับใบดำใบแดง รู้ทั้งรู้ว่าพ่อท่านมุ่ย และพ่อท่านเนียม ชอบทหารแต่ก็อยากฝืนชะตาชีวิต จึงได้จุดธูปอธิษฐานบอกกล่าวครูบาอาจารย์ รุ่งเช้าได้พกลูกอมพ่อท่านมุ่ย และลูกอมพ่อท่านเนียม ติดตัวออกไป ตามคำโบราณบอกพอก้าวขาออกจากบ้าน มีคนตะโกนถามว่าจะไปไหน ผมได้ยินแต่ไม่หันกลับเข้าให้เดินหน้าอย่างเดียวใครทักห้ามขาน พอไปถึงสถานที่โรงเรียนวัดบางนาใน ระหว่างช่วงเวลาบ่ายสามโมงเย็น ใกล้ถึงคิวของผมในการจับใบดำใบแดงพกลูกอม มา 2 เม็ดจึงนึกถึงครูบาอาจารย์จึงกลืนลงคอไปทั้ง 2 เม็ดพร้อมดื่มน้ำตาม ตอนนี้ความมั่นใจมา 99% แต่อีก 1 %
รู้อยุ่แก่ใจว่าพ่อท่านมุ่ยชอบทหาร พอถึงเวลาที่เข้าไปจับพอเอามือล้วงลงไปจับขึ้นมาเท่านั้นแหละ ใบแดง ท.บ.1 เต็มๆ ผมเองก็รู้ในใจลึกๆ ว่าคงไม่รอดแน่ ทั้งหมอดูที่ทำนาย และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันบอกว่าเราต้องเป็นทหาร แต่ไหนๆ แล้วถ้าเป็นก็ขอให้ไม่ไปตกที่ต่างจังหวัด อยากให้อยุ่ใกล้บ้าน พอกลับบ้านน้องสาวบอกว่าเมื่อคืนฝันว่าผมนอนกางมุ้งแต่เอามุ้งทหารมากาง ส่วนเพื่อนนิทก็มาบอกว่าผมใส่ชุดทหารเดินอยู่ในบ้าน ยังไงก็ไม่รอด
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่อยากบอกเล่าว่าลูกอมท่านใช้ได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนี้ครับเพราะท่านชอบทหารถึงได้สร้างพระปิดตาแจกทหารในช่วงสงคราม หลังจากที่รู้ว่าต้องเป็นทหารแล้ว วันที่ 1 พฤษภาคม 2536 ก็ไปตามนัดที่เขตพระโขนง ขึ้นรถ จีเอ็มซีไปแยกเหล่าที่ ททบ.11 ผมโดนแยกมาที่กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ เกียกกาย และในระหว่างนั้นมีนายทหาร เป็นคนใต้ฟังจากสำเนียงมาชี้เลือกทหารเพื่อไปแยกหน่วยอีก ผมได้ถูกเลือกมาประจำการที่กองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์สนามเป้า อย่างน้อยก็อุ่นใจได้อยู่ในกรุงเทพ (ตามที่บอกพ่อท่านมุ่ยไว้) แต่พอเป็นทหารจะหนักตอนฝึก 3 เดือนแรกเท่านั้น แล้วชีวิตก็ไม่ลำบากมาก ได้เจ้านายดีเมตตาผมมากเพราะได้บารมีจากพ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ และพ่อท่านเนียม วัดบางไทร นครศรีธรรมราช
เรื่องที่ 7
พ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช วันนี้จะมาเล่าเรื่องวัตถุมงคลว่าทำไมผมมีหลายอย่าง ซึ่งบอกได้เลยว่ากว่าจะได้วัตถุมงคลแต่ละชิ้นจากพ่อท่านต้องใช้กาลเวลา ความพากเพียร ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเล นั่งเรือบ้างเดินเท้าบ้างทั้งวัดบางบูชา วัดคลองน้อย วัดป่าระกำเหนือ ทั้ง 3 วัด มีเรื่องเล่าขำๆ ในการนั่งเรือ กว่าเรือจะออกได้รอแล้วรอเล่ากว่าจะออก ถ้าเป็นคลองน้อยผมเคยเดินเอาโลกว่าๆ ขี้เกียจรอระหว่างนั้นไม่มีอะไรทำ จึงไปกินขนมจีนที่ท่าเรือ เพื่อฆ่าเวลาจานละ 1 บาท ราดทั้งน้ำพริกผสมน้ำยา ล่อผักไปซะเกือบโล กินคาวแล้วต้องตามด้วยของหวาน เพื่อดับความเผ็ดจึงเหลือบไปเห็นขนมครกจึงอยากกิน ขนมครกที่นี่ก็ไม่เหมือนกรุงเทพ เป็นแป้งจืดๆตอนแรกไม่รู้ กินคำแรกเท่านั้นแหละจึงเดินไปถามแม่ค้าว่าทำไม่มีรสชาดเลย จืดสนิทแม่ค้าก็ขำบอกที่นี่เขากินกันแบบนี้ มีแต่น้ำตาลทรายกับเกลือใส่ใบตองไว้ให้จิ้ม กินไปขำไปหลังจากนั้นก็รอ จนท้องอืดเรือก็ยังไม่เต็ม กว่าจะออกได้แต่ละลำ เพราะกว่าจะมาจากกรุงเทพนั่งรถไฟแล้วพอจะมาถึงท่าเรือก็ปาเข้าไปบ่ายโมง ขอเล่าข้ามไปถึงเรื่องรถไม่ว่าจะมารถไฟ หรือ บขส (เก่าที่ไม่ใช่หัวอิฐในปัจจุบัน) แล้วต้องต่อรถเมล์
พอมาถึงสี่แยกหัวถนน จะจอดรับคนที่สี่แยก จะมีคนแบกข้าวเหนียวไก่ทอด ใส่ถาดวางไว้บนหัวทุกคน เป็นเอกลักษณ์ เห็นแล้วอยากลองกิน ข้าวเหนียวไก่ทอดกับโอเลี้ยงที่ถือใส่ไม้แขวนมามีน้ำหลายอย่างชาดำเย็น นมเย็น ฯลฯ พอได้ดูดแล้วต้องสะดุ้ง จืดสนิทน้ำแข็งก็มีแกลบปน สมัยนั้นเป็นน้ำแข็งมือ กว่าจะขายได้จนน้ำแข็งละลายหมด กว่าจะมาถึงเราทำให้จำรสชาดได้ ที่มีคนมาเดินขายข้างรถ ถ้าไปแท็กซี่ป้ายดำเป็นรถเบ็นซ์เก่าๆ เน่าทั้งคันแต่เครื่องแรงมาก รวดเดียวถึงท่าเรือ มาเล่าต่อเรื่องนั่งเรือในระหว่างนั่งเรือ ในเก้าอี้แต่ละตัวมีกะลา ได้แต่สงสัยตอนแรกไม่เข้าใจ วิ่งไปเรื่อยๆ ก็รู้สาเหตุ พอน้ำเริ่มเข้าเรือต้องช่วยกันวิดและตอนนั่งก็ห้ามเหม่อ ต้องคอยก้มคอยหลบ มัวแต่มองวิว ชมนกชมไม้ข้างทาง ต้นจากเอยกิ่งไม้ข้างทางเอย ตีเข้าหน้าเสียงดังเปรี๊ยะ คนขำกันทั้งเรือ พอถึงหน้าวัดก็ไปกราบพ่อท่านทุกครั้งที่ปิดเทอม ตั้งแต่ปี 2520 นั่งรถไฟที่หัวลำโพง / บขส ที่สายใต้เก่า (สามแยกไฟฉาย)
พ่อท่านมุ่ยก็เมตตาลูกหลานทุกครั้งที่ไปกราบ และได้อยู่รับใช้พ่อท่าน ก็จะได้วัตถุมงคลติดมือกลับมาทุกครั้งตั้งแต่ลูกอมชานหมาก สมัยเด็กพ่อท่านคงจะทดสอบดูความเพียรพยายาม และความตั้งใจของผม ว่าจะรักษาของพ่อท่านได้มั้ย จนพ่อท่านมั่นใจ จึงค่อยได้พระประทานพร จนมาถึงพระปิดตา ฯลฯ ซึ่งเป็นสุดยอดพระในฝัน ที่ลูกศิษย์ลูกหาทุกคน และคนทั้งประเทศอยากได้ทำให้ผมปลาบปลื้มมาก ถือว่าเป็นสิ่งมงคลสูงสุดในชีวิตผมที่ได้ของดีพระปิดตาอันดับ 1 ในภาคใต้
เรื่องที่ 8
พ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช เป็นภาพถ่ยที่เกิดมาแล้วจำความได้ ก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเป็นสิ่งสูงสุดที่บูชาและนับถือของคนในบ้าน และญาติพี่น้องตระกูลเถาว์จู ทุกคนที่ต้องมีติดบ้านไว้บูชา แต่แตกต่างกันแค่อริยาบทแตกต่างกันไป ในสมัยนั้นตอนเด็ก พ่อของผมได้พาไปกราบพ่อท่านทุกปี ปิดเทอม 2 ครั้งก็จะไปคอยรับใช้พ่อท่านมุ่ยเพื่อตอบแทนบุญคุณ ตั้งแต่วัดคลองน้อย วัดบางบูชา วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช สมัยนั้นที่ปากพนังยังไม่มีไฟฟ้า ใช้ตะเกียงเป็นหลักในยามค่ำคืน การเดินทางไปกราบท่านก็แสนลำบาก นั่งรถไฟไปนครศรีธรรมราช แล้วต่อรถเมล์ไปปากพนัง แวะจอดที่สี่แยกหัวถนน เพื่อไปต่อเรือ บางสระ คลองน้อย เปี๊ยะ 3 ที่นี้คือท่าเรือที่จะไปหาพ่อท่านมุ่ย ระหว่างที่อยู่รับใช้ท่านได้เห็นทั้งวัตรประฏิบัติ ของพระสงฆ์ที่มีศีลอันบริสุทธิ์ ท่านมีเมตตากับทุก ๆ คนและไม่ว่ายากดีมีจน ท่านตื่นเช้ามืดเพื่อมาทำวัตรเช้า เสียงสวดมนต์ดังและเข้มขลังมาก นอนฟังในมุ้งข้างๆ พ่อท่านต้องตกใจตื่น ด้วยความที่เราเป็นเด็กก็ได้ตื่นมานั่งดู หลังจากนั้นพ่อท่านก็ลุกออกจากกุฏิเอาข้าวเปลือกมาโปรยให้ไก่ และนกเป็นอย่างนี้มาตลอด
หลังจากญาติโยมมาถวายอาหารและฉันเช้าเสร็จก็จะเทศน์ สอนโปรดญาติโยม สายๆ ใครเอารถยนต์มาให้พ่อท่านเจิม ข้าพเจ้าได้มีหน้าที่ไปหยิบย่าม และของในห้องเช่นแป้งเจิม ของมงคลต่างๆ จึงได้มีโอกาสได้เห็นกระดานชนวน แม่พิมพ์พระปิดตา ฯลฯ ได้เป็นบุญตา หลังจากนั้นข้าพเจ้าต้องคอยช่วยพยุงท่านขึ้นไปบนฝากระโปรงหน้ารถ ทำแบบนี้ทุกคันท่านมีวิชาขึ้นไปนั่งบนนั้น แต่ฝากระโปรงรถไม่มีบุบเพื่อเจิมรถหลังจากนั้นก็เข้ามาเจิมในรถ พร้อมด้าย 7 สีผูกเชือกคอรถ และเรียกเจ้าของรถมาเจิมหัวเป็นแบบนี้ทุกคน หลังจากนั้นก็ให้สตาร์ทรถและบีบแตร พร้อมขับออกไปเป็นอันเสร็จพิธี
เรื่องที่ 9
รูปถ่ายของพ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ นครศรีธรรมราช ขอเล่าเรื่องให้ทุกท่านได้ทราบกัน รูปถ่ายนี้มาจากนิตยสารพระ หนังสืออภินิหารพลังจิต คุณพ่อผมได้ไปซื้อมา 2 เล่ม พอได้รูปมาแล้วเดินทางมากับคุณพ่อ เพื่อมากราบพ่อท่าน และนำรูปไปให้พ่อท่านมุ่ย ลงยันต์นะปัดตลอด ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวท่าน ลงไว้ที่รูปลงด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงิน ใบนึงไว้ที่บ้านตัวเอง อีกหนึ่งใบให้ไว้กับผู้ใหญ่ที่นับถือกัน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันหลังจากกราบลาท่านเสร็จ ก็เดินทางกลับกรุงเทพ บ้านผมเองเป็นร้านตัดเย็บเสื้อผ้าชื่อร้านโคท ร้านหนุ่มเบบี้ ใช้มา 2 ชื่อ อยู่ที่ซอยลาซาลย่านบางนา กทม ในสมัยนั้น คุณพ่อผมได้นำรูปพ่อท่านมุ่ยไปใส่กรอบไม้ 2 บานซึ่งของผมได้แขวนไว้ที่เสาหน้าบ้าน อีกบานหนึ่งอยู่บ้านผู้ใหญ่ที่นับถือกัน
วันนั้นพ่อผมได้ใช้ให้ทำความสะอาดบ้าน ผมเองได้ทำความสะอาดบ้านในตอนนั้น ด้วยความไร้เดียงสา ตามประสาเด็กในระหว่างที่กวาดบ้านด้วยไม้กวาด และในระหว่างนั้นคุณพ่อกำลังเย็บผ้าอยู่ ได้สั่งให้กวาดหยากใย่ด้วย ข้าพเจ้าพาซื่อจึงได้เอาไม้กวาดที่กวาดพื้นไปปัดหยากใย่ ซึ่งไปทำบริเวณแถวที่รูปถ่ายของพ่อท่าน โดยที่ไม่ได้คิดอะไรพอทำงานเสร็จได้สักพัก คุณพ่อผมตะโกนเสียงดังมาว่า ยันต์ที่รูปพ่อท่านหายไปไหน เนื่องจากมาตรวจดูความเรียบร้อย ในการทำความสะอาด แล้วเห็นความผิดสังเกตุ ด้วยความตกใจ เพราะไม่ทราบว่ายันต์ หายไปได้อย่างไร มานึกขึ้นได้น่าจะเกิดจากการที่เราเอาไม้กวาดไปโดนแน่ ๆ ผมจึงอธิบายให้ฟัง (โดนดุชุดใหญ่ ) ว่าเราทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการและได้ขอโทษคุณพ่อไป ขณะนั้นเองนึกขึ้นมาได้สมองสั่งการให้วิ่งไปบ้านผู้ใหญ่ที่นับถือกัน เพื่อตรวจดูรูปถ่ายที่เหมือนกัน ว่ายันต์ที่ลงไว้อยู่ครบหรือไม่ ปรากฏว่าปรกติดี ทั้งที่วางไว้เฉยๆ ต่างกับที่บ้านเราซึ่งยันต์หายไปแล้ว หลังจากนั้นผมก็ทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก็สำนึกผิดและได้ขออาสาคุณพ่อว่าจะนำรูปถ่ายใบนี้ นำกลับไปให้ท่านลงยันต์ใหม่อีกครั้ง ผมตัดสินใจเดินทางวันศุกร์-กลับวันอาทิตย์ เพื่อกลับมาเรียนหนังสือให้ทัน
ด้วยรถไฟจาก กทม. ที่หัวลำโพงด้วยค่ารถไฟในสมัยนั้น 75฿ ตั๋วเด็ก จากราคา 150฿ ไปนครศรีฯ จำคร่าว ๆ ราวปี 2526 พอไปถึงพ่อท่านก็ได้ถามว่ามาทำไหร ผมก็ได้บอกจุดประสงค์และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง ด้วยความกลัวว่าต้องโดนดุ แต่ปรากฏว่าท่านได้แต่ยิ้ม แล้วถามว่ากลับต่อใด ผมบอกว่าพรุ่งนี้กลับตอนเช้า พอตกเย็นกางมุ้งเสร็จ มุ้งติดกันกับของพ่อท่าน จุดตะเกียงได้สักพัก (สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า) นอนกัน 2 คน
ท่านทำวัตรเสร็จพ่อท่านก้อเรียกผมมาให้เอารูปมาให้ท่านลงยันต์ให้ใหม่ คราวนี้เป็นปากกาท่านได้มีเมตตากับครอบครัวของผมมาก หลังจากนั้นก็เข้านอน เช้าก้อเดินทางกลับกรุงเทพ ปัจุบันรูปใบนี้ผมยังบูชา และนั่งมองรอยปากกา ที่ท่านจารให้อยู่ครับ ที่เล่ามาทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นอภินิหารของยันต์นะปัดตลอดครับ ไว้คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ จะทะยอยลงให้ทุกๆ ท่านได้อ่านกันครับ
“ เมื่อใจมีศรัทธา ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเสมอ “ |