ประวัติพ่อท่านมุ่ย พระครูนิโครธจรรยานุยุต (มุ่ย จนฺทสุวณฺโณ) วัดป่าระกำเหนือ
พ่อท่านมุ่ยไม่สรงน้ำแต่ไม่มีกลิ่นตัว ประมาณก่อนปี ๒๕๐๐ พ่อท่านมุ่ยไปธุดงค์ที่จังหวัดพัทลุง ได้สรงน้ำร้อนที่บ่อน้ำร้อนแห่งหนึ่งในจังหวัดพัทลุง ได้อธิษฐานจิตว่า ตั้งแต่บัดนี้จะไม่สรงน้ำ ด้วยความสัจขออย่าให้สบง จีวร และตัว มีกลิ่นเป็นอันขาด จากบัดนั้นเป็นต้นมา พ่อท่านมุ่ยก็ไม่สรงน้ำอีกเลย แต่สบง จีวร และตัวก็สะอาด และไม่มีกลิ่นเลย พ่อท่านมุ่ยไม่สรงน้ำเป็นเวลากว่า ๔๐ ปี นี่คือ อธิษฐานบารมี
พ่อท่านมุ่ย อบรมนักโทษ พ่อท่านมุ่ยได้รับการแต่งตั้งให้อบรมบุคคลอันธพาล ให้กลับใจเป็นพลเมืองดี ทั่วภาค ๘ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี นักโทษผู้ใดจะมอบตัวให้มอบตัวกับพ่อท่านมุ่ย แล้ว โทษต่างๆ ที่มีอยู่จะหมดคดีไปโดยปริยาย พ่อท่านมุ่ย จนฺทสุวณฺโณ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูนิโครธจรรยานุยุต เป็นกรณีพิเศษ ในนามคณะรัฐบาลสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยนั้นบรรดานักโทษที่ต้องขังอยู่ในเรือนจำปากพนัง หากพ่อท่านมุ่ยต้องการขอตัวมาช่วยทำงานในวัด ตลอดจนนักโทษทุกคน กลับตัวเป็นคนดี และให้ความเคารพนับถือพ่อท่านมุ่ยมาก
ในการนี้ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มอบพัดประจำตำแหน่ง เครื่องหมายตราสิงห์คู่ให้กับพ่อท่าน ๑ เล่ม พัดเล่มนี้ปัจจุบัน ตั้งอยู่ที่หน้าศพพ่อท่าน และจอมพล ป.พิบูลสงคราม บอกว่ามีเล่มเดียวในประเทศไทย เคยมีนักโทษคิดจะหนี แต่แล้วก็เดินวนเวียนอยู่ในวัดหนีไปไม่ได้ พ่อท่านมุ่ยจึงควบคุมนักโทษได้ด้วยคาถาอาคมที่เข้มขลัง
พ่อท่านมุ่ยคลอดบุตรด้วยน่องด้านขวา พ่อท่านมุ่ยมีวิทยาคม ด้านการคลอดบุตร ในอดีตแม่คลอดบุตรเป็นเรื่องเสี่ยงต่อชีวิตแม่และลูก บางครั้งแม่ตาย บางครั้งลูกตาย เพราะการแพทย์ยังไม่เจริญ พ่อท่านมุ่ยเรียนวิชานี้เพื่อต้องการช่วยแม่ที่คลอดบุตรยาก ปรากฏว่าได้ช่วยคนมามาก การคลอดบุตรด้วยน่องด้านขวา คนคลอดอยู่ที่บ้าน แต่พ่อท่านอยู่ที่วัด ก่อนที่จะคลอด พ่อท่านจะถามผู้ที่มาหาว่า ผู้หญิงที่จะคลอดหันหัวไปทางทิศไหน แล้วพ่อท่านจะนอนหันหัวไปทางทิศเดียวกับคนคลอด แล้วพ่อท่านทำ “อาคม” ใส่ที่น่องของพ่อท่าน แล้วน่องของพ่อท่านจะเจ็บปวดมีอาการพลิกตัวไปมาเหมือนกับคนคลอดจริง หลังจากนั้นอาการปวดที่น่องเริ่มทุเลาลงเรื่อยๆ จนปกติ แล้วพ่อท่านบอกว่าผู้หญิงคนนั้นคลอดเรียบร้อยแล้ว เมื่อผู้มาหาพ่อท่านกลับไปถึงบ้านผู้หญิงคนนั้นคลอดแล้วจริงๆ หลังจากนั้นพ่อท่านก็เอาน้ำมาอาบน่องของท่าน เหมือนกับอาบน้ำผู้คลอดตามปกติ ไม่มีผู้ใดที่คลอดยากแล้ว มาหาพ่อท่านแล้วคลอดไม่ออก “อาคม”นี้ พ่อท่านปฏิบัติได้โดยไม่ต้องสรงน้ำ ถ้าสรงน้ำจะถืออาคมนี้ไม่ได้ เมื่อถือ “อาคม” นี้แล้ว เป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง คือ กลิ่นกายของพ่อท่านไม่มี และถ้าเดินทางผ่านหญ้ารกๆ หรือต้นกล้าข้าว ปรากฏว่าหญ้ารกๆ หรือต้นกล้าข้าวจะเฉาแดงเท่าทางเดินของพ่อท่าน ต่อมาภายหลังพ่อท่านก็หยุดทำ “อาคม”นี้ เนื่องจากชราภาพ ไม่สามารถที่จะทนความเจ็บปวดได้ อีกทั้งมีแพทย์แผนปัจจุบันทันสมัยแล้ว แต่พ่อท่านได้มีอาคมของท่านไว้ในลูกอมชานหมากที่ทำด้วยชานหมาก ถ้าจะคลอดก็ใช้ลูกอมชานหมากนี้ใส่ลงในน้ำดื่ม โดยอธิษฐานจิตถึงบารมีของพ่อท่าน ให้พ่อท่านช่วยเหลือในการคลอดครั้งนี้
พ่อท่านมุ่ย กับพิธีพุทธาภิเษก องค์พ่อจตุคามรามเทพรุ่นปี ๒๕๓๐
พ่อท่านมุ่ยเป็นพระเกจิอาจารย์ในพิธีกรรมพุทธาภิเษก องค์พ่อจตุคามรามเทพ รุ่นปี ๒๕๓๐ เกือบทุกขั้นตอน ไม่ว่าในทะเลหรือบนบก โดยทำพิธีร่วมกับ พระคณาจารย์สำนักเขาอ้อ คือ ๑.พระครูกาชาด วัดดอนศาลา, ๒.พระครูศิริวัฒนาการ (ศรีเงิน) วัดดอนศาลา, ๓.พระครูพิพิธวรกิจ (คล้อย) วัดภูเขาทอง และ๔.พระครูอดุลย์ธรรมกิตติ (กลั่น) วัดเขาอ้อ พระคณาจารย์ดังของนครศรีธรรมราช คือ
๑.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง ๒.หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ ๓.พ่อท่านสังข์ วัดดอนตรอ ๔.พ่อท่านมุ่ยวัดป่าระกำเหนือ
ผู้ที่ไปนิมนต์มาในพิธีคือ ขุนพันธรักษ์ราชเดช และนายเอนก สิทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชในขณะนั้น
พ่อท่านมุ่ย มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก ไม่จับต้องเงินทอง ไม่สะสมสมบัติของมีค่า ในกุฏิของท่านจึงไม่มีของมีค่าอะไรเลย ใครถวายอะไรให้ท่าน หากมีคนอื่นมาขอต่อท่านก็จะยกให้ทันทีโดยไม่มีความเสียดายอะไรทั้งสิ้นนอกจากนี้ พ่อท่านมุ่ย ยังฉันเอกา (มื้อเดียวใน ๑ วัน) ฉันรวม โดยเอากับข้าวต่างๆ ที่ชาวบ้านนำมาถวายที่วัดอย่างละนิดอย่างละหน่อย เอามารวมในจานข้าว แล้วคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน แล้วจึงฉันแต่พออิ่ม พ่อท่านมุ่ยนับเป็นพระเถระที่มากด้วยเมตตาบารมีลำเลิศของภาคใต้ ที่ประพฤติพรหมจรรย์ มั่นคงยาวนานปี ศีลาจารวัตรเรียบร้อย เป็นที่เคารพนับถือของญาติมิตรและศิษยานุศิษย์ ตลอดจนบุคคลทั่วไป นับเป็นพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช ที่ทรงคุณธรรม อย่างสูงส่ง มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนทุกระดับชั้น เพราะเหตุนี้เองชาวบ้านจึงขนานนามให้ท่านเปรียบเสมือน “เอกองค์อริยสงฆ์แห่งทักษิณ” อย่างแท้จริง
มหัศจรรย์ ถ่ายรูปพ่อท่านไม่ติด ถ้าใครจะถ่ายรูปของพ่อท่านมุ่ยไปไว้สักการะเคารพบูชา จะต้องบอกหรือขออนุญาตต่อพ่อท่านเสียก่อน มิฉะนั้นจะถ่ายรูปพ่อท่านไม่ติด แม้จะมีฝีมือถ่ายภาพดีเพียงใด ปรากฏการณ์มีมาหลายครั้งแล้ว
การดำเนินชีวิตของพ่อท่านมุ่ย
พ่อท่านได้กำหนดช่วงของการดำเนินชีวิตไว้ ๓ ช่วง อายุ ๑-๓๐ ปี เป็นเรื่องของปฏิยัติศึกษาหาความรู้ให้มาก และสอน บอกให้ผู้อื่นรู้ด้วย อายุ ๓๑-๖๐ ปี เป็นเรื่องของการปฏิบัติ คือทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี นำความรู้ที่ได้เรียนมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์มากที่สุด อายุ ๖๑ ปีขึ้นไป (๖๑-๙๓ปี) เป็นเรื่องของปฏิเวธเสวยผลของการปฏิบัติ
วัตถุมงคลของพ่อท่านมุ่ย
พ่อท่านมุ่ยผู้เชี่ยวชาญด้านผงปถมัง ผงปถมังได้มาจากการเขียน “นะปถมังพินธุ” แล้วลบออก ผงที่ได้จากการลบนะปถมังพินธุ คือ ผงปถมัง นะปถมังพินธุ นอกจากจะเรียก นะปฐมกัปป์แล้ว ยังมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก เช่น นะทรงแผ่นดินบ้าง นะตัวต้นบ้าง หรือนะปัดตลอดบ้าง นะทุกตัวที่โบราณาจารย์ท่านประดิษฐ์ขึ้นนั้น เป็นอักขระวิเศษอย่างหนึ่งจะว่ายันต์ก็ไม่ใช่ ตัวนะประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๕ ประการคือ พินธุ ทัณฑะ เภทะ อังกุ และสิริ นะปถมังต้องลงตามสูตรที่ละขั้นตอน เรียกว่า “สูตรปถมัง” เมื่อลงขั้นตอนใด ต้องว่าคาถาของขั้นตอนนั้น แล้วเสกคาถากำกับตัวที่ลงไว้อีกที จนกระทั่งครบสูตรปถมัง ตอนลบต้องว่าคาถาไปด้วย
พ่อท่านมุ่ยศึกษาวิชาทำผงปถมังจนมีความเชี่ยวชาญ ในการทำผงปถมัง ท่านใช้ความมานะพยายามเขียนสูตรปถมัง แล้วลบออกมาเป็นผงอยู่นานถึง ๑๐ กว่าปี ทุ่มเททั้งพลังกายและพลังใจอย่างเต็มที่ (วิชาเอกนี้แม้แต่ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ซึ่งสำเร็จวิชาเดียวกัน ยังยอมรับนับถือว่า เป็น ๑ ไม่เป็นรองใคร) เมื่อได้ผงปถมังมากพอจะนำมาสร้างเป็นพระเครื่อง พ่อท่านมุ่ยก็เอาผงวิเศษที่ทำขึ้นล้วนๆ พ่อท่านมุ่ยทำผงปถมังใช้กระดานหนา ๖ หุน เสกคาถาลงอักขระ ทำผงปถมัง ปรากฏว่า ผงปถมัง ทะลุกระดานหายไปหมดไม่ได้ผงปถมังสักนิดเดียว พ่อท่านมุ่ยจึงได้ไปปรึกษากับพ่อท่านหมุน ซึ่งเป็นเกลอของท่านที่จังหวัดพัทลุง พ่อท่านหมุนบอกว่าให้เอาใบกล้วยทองลงยันต์ผูกธรณีจึงจะได้ผงปถมัง หลังจากนั้นจึงกลับมาทำผงปถมัง ได้ผงปถมังมากมาย
ผงปถมัง พ่อท่านมุ่ยไม่ได้ทำเพียงคนเดียว ขณะนั่งเสกคาถาอยู่นั้นจะมีเทวดามาร่วมอยู่ด้วย และยื่นผงปถมังให้ ผงปถมังของพ่อท่านมุ่ย จึงเป็นผงปถมังของเทวดารวมอยู่ด้วย เมื่อได้ผงปถมัง ด้วยอำนาจแห่งพลังจิตของพ่อท่านแล้ว จึงนำไปสร้างเป็นองค์พระ ปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง จึงจะเสร็จสมบูรณ์จริงๆ จะเห็นได้ว่า พิธีกรรมสร้างพระของ พ่อท่านมุ่ย นั้นไม่ธรรมดาเลย พระของท่านจึงทรงไว้ซึ่งความขลังและศักดิ์สิทธิ์สุดพรรณนา พระที่พ่อท่านมุ่ยสร้างขึ้นมารุ่นแรก เป็นพิมพ์พระปิดตา หลังจากแกะพระออกจากพิมพ์ก็จะเอามาตกแต่งให้ดูเรียบร้อยสวยงามแล้วจึงปลุกเสกให้เกิดพุทธานุภาพสูงสุด การปลุกเสกพระปิดตาของพ่อท่านมุ่ยทำการปลุกเสกเดี่ยว ซึ่งตามแบบพระเกจิอาจารย์ทางภาคใต้ถือว่า ถ้าไม่แน่จริงก็ไม่ปลุกเสกองค์เดี่ยว แสดงว่าพ่อท่านมุ่ยมั่นใจในพระปิดตาของท่านมาก การปลุกเสกก็มิใช่กระทำกันแค่ ๓ วัน ๗ วัน แต่ท่านใช้เวลาปลุกเสกอยู่หลายปี ก่อนจะนำออกมาแจกจ่ายให้บรรดาศิษย์และญาติโยม โดยไม่ได้หวังค่าตอบแทนแต่ประการใด
“ เมื่อใจมีศรัทธา ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเสมอ “ |